โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังโรคหนึ่งที่เป็นปัญหาสุขภาพทั่วโลก อัตราความชุกโรคเบาหวานในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.5-7 ในกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ และอยู่ที่ร้อยละ 13-15.3 ในผู้สูงอายุ(1) ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสูงกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 2 เท่า ,เสี่ยงต่อตาบอดเนื่องจากหลอดเลือดแดงที่จอตาเสื่อมสูงกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 25 เท่า ไตเสื่อมสมรรถภาพสูงกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 17 เท่า ถูกตัดขาเนื่องจากเกิดแผลเน่าเนื้อตายสูงกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 5 เท่า(2) ผลกระทบจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวานทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมากใน พ.ศ. 2549 ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของประเทศอยู่ที่ประมาณ 1.8-3.4 ร้อยล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของประเทศเฉลี่ย 5,000 บาท/คน/ปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7-5.4 ร้อยล้านบาทต่อปี ในพ.ศ. 2568 หรือคิดเป็นร้อยละ 9-17 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของประเทศ(3) จากสถิติการให้บริการผู้ป่วยเบาหวานของโรงพยาบาลสิชลที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2549 จำนวน 1134 คน พ.ศ. 2550 จำนวน 1188 คน พ.ศ. 2551 จำนวน 1250 คน ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเกณฑ์เป้าหมาย (FBS อยู่ระหว่าง 80-120 mg%) เพียงร้อยละ22.33 ซึ่งเป้าหมายอยู่ที่ ร้อยละ 60 คลินิกเบาหวานโรงพยาบาลสิชล เปิดให้บริการทุกวันอังคาร และวันศุกร์ มีจำนวนผู้มารับบริการ 65-90 คนต่อวัน ในอดีตที่ผ่านมาการให้สุขศึกษา เกี่ยวกับโรคเบาหวานและการปฏิบัติตัวทั่ว ๆ ไปเป็นแบบกลุ่มใหญ่ ไม่ได้แยกกลุ่มรายใหม่หรือรายเก่า การพบทีมสหวิชาชีพไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน จากการซักถามประวัติผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงพบว่า ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในเรื่องสัดส่วนการรับประทานอาหารประเภท แป้ง น้ำตาล ไขมัน ผลไม้หวาน ควรรับประทานได้มากน้อยเท่าใด บางส่วนยังไม่เข้าใจในการดำเนินของโรคเบาหวาน มีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องและการออกกำลังกายไม่เหมาะสม จึงไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จากเหตุผลดังกล่าวทีมดูแลผู้ป่วยเบาหวานจึงได้คิดปรับปรุงรูปแบบการให้สุขศึกษาแบบทีมสหวิชาชีพขึ้นมาใหม่ แล้วทำการ ศึกษา เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ให้สุขศึกษาโรคเบาหวานทั่วไป กับกลุ่มที่ใช้เทคนิคการให้สุขศึกษาด้วยทีมสหวิชาชีพในการศึกษาครั้งนี้ใช้ ระดับฮีโมโกลบินที่มีน้ำตาลเกาะ (HbA1C) ประเมินผลการศึกษาเนื่องจาก HbA1Cเป็นระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดผู้ป่วยเบาหวาน จะบ่งชี้ทางอ้อมถึงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป้าหมายในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานอยู่ที่ระดับน้อยกว่า 7 % การวัดเปอร์เซ็นของน้ำตาลเฉลี่ยสะสม จะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลการปฏิบัติตัวในการควบคุมน้ำตาลของผู้ป่วยอย่างแท้จริง มากกว่าระดับ FBS